มหาวตาร บาบาจี
(ตามตัวอักษร แปลว่า อวตารผู้ยิ่งใหญ่ หรือ บิดา หรือ ผู้อาวุโส หรือ นักปราชญ์)
เป็นนามที่ใช้เรียกโยคีของอินเดีย โดยท่านโยคีราช ลาหิริ มหาสัย และสาวกทั้งหลายของท่าน
ซึ่งได้รายงานว่าได้เคยพบปะกับท่านมหาวตาร
บาบาจีระหว่าง ปี ค.ศ. 1861, 1935 และ 1980
การพบปะระหว่างบุคคลต่างๆกับท่านมหาวตาร
บาบาจี ได้ถูกกล่าวอ้างถึงโดยท่าน บรมหงส์ โยคานันท์ ในหนังสือของท่านที่ชื่อ อัตชีวประวัติของโยคี (Autobiography
of a Yogi ) รวมทั้งรายงานว่า
ท่านบรมหงส์ โยคานันท์ ก็ได้เคยพบปะกับท่านมหาวตาร บาบาจีนี้ด้วย
เรื่องราวของท่านมหาวตาร
บาบาจี ได้ถูกนำมากล่าวถึงโดย ท่านศรี ยุกเตศวร คิรี ในหนังสือของท่านที่ชื่อว่า ศาสตร์อันศักดิ์สิทธิ์ (The Holy
Science )
ในหนังสืออัตชีวประวัติของท่านศรี เอ็ม ก็บอกว่า ท่านมหาวตาร บาบาจี คือ พระศิวะ
ในบทสุดท้ายของหนังสือเล่มนี้
ท่านศรี เอ็ม ได้กล่าวถึงท่านมหาวตาร บาบาจี ว่าได้เปลี่ยนแปลงรูปร่างของท่านไปเป็นรูปร่างของพระศิวะ
เรื่องราวของท่านมหาวตาร
บาบาจีทั้งหลายทั้งปวงตลอดจนถึงเรื่องราวที่มีรายงานว่ามีคนได้พบปะกับท่านมหาวตาร
บาบาจีเหล่านี้ ถูกกล่าวถึงในหนังสืออัตชีวิตประวัติต่างๆ เช่น
ในหนังสือ หนังสืออัตชีวประวัติของท่านบรมหงส์
โยคานันทะ บอกว่า ท่านมหาวตาร บาบาจี พำนักอยู่เป็นเวลาอย่างน้อยหลายร้อยปีในพื้นที่ภูเขาหิมาลัยของประเทศอินเดีย
ซึ่งจะสามารถมองเห็นเป็นตัวตนที่แท้จริงก็โดยคนที่เป็นสาวกของท่านมหาวตาร
บาบาจีและคนอื่นๆเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
ในสมัยเยาว์วัยของท่านมหาวตาร
บาบาจี
มีเรื่องราวที่พูดถึงตอนท่านมหาวตาร
บาบาจีอยู่ในวัยเด็กไว้น้อยมาก แหล่งข้อมูลแหล่งหนึ่ง คือ หนังสือเรื่อง ประเพณี
บาบาจี และ 18 สิทธา กริยะ โยคะ (Babaji and the 18 Siddha
Kriya Yoga tradition) ซึ่งเขียนโดยท่านมาร์แชล
โควินทะ
ในหนังสือของท่านโควินทะเล่มนี้
บอกว่า ท่านมหาวตาร บาบาจี ถูกตั้งชื่อโดยศิษย์ของท่านว่า นาคราชัน (เจ้าแห่งพระยานาค)
นีลกันตัน และ เอส.เอ.เอ รามาชาห์ ได้ก่อตั้ง องค์การ กริยะ บาบาจี สังฆะ เมื่อวันที่
17 ตุลาคม ค.ศ. 1952 เพื่ออุทิศแด่คำสอนเกี่ยวกับกริยะ โยคะ ของท่านมหาวตาร บาบาจี
ทั้งนี้โดยทั้งสองคนอ้างว่าได้จัดตั้งองค์กรนี้ตามคำเรียกร้องของท่านมหาวตาร
บาบาจี
.
ผู้เขียนทั้งสองคนอ้างว่า
ในปี ค.ศ. 1953 ท่านมหาวตาร บาบาจี ได้บอกกับผู้เขียนทั้งสองคนว่า ท่านเกิดเมื่อวันที่
30 พฤศจิกายน ค.ศ. 203 ที่หมู่บ้านชายทะเล ซึ่งปัจจุบันมีชื่อว่า ปารังคิเปตไต
ตำบลทุดดาลอร์ รัฐทมิฬดานู ประเทศอินเดีย
องค์กร กริยะ
บาบาจี สังฆะ และองค์กรสาขาต่างๆ ได้อ้างถึงสถานที่เกิดและวันเดือนปีเกิดของท่านมหาวตาร
บาบาจีดังกล่าว และบอกด้วยว่า ท่านมหาวตาร บาบาจี เป็นศิษย์ของท่านโบคาร์
และชื่อแรกเกิดของท่าน คือ นาคราชัน
ในหนังสือ อัตประวัติของโยคี
ของท่าน บรมหงส์ โยคานันทะ ได้พูดถึง มหาวตาร บาบาจี
รวมทั้งอ้างถึงคำพูดของท่านลาหิริ มหาสัย และท่านศรี ยุกเตศวร ที่พูดถึงท่านมหาวตาร
บาบาจี ด้วย
ในหนังสือเรื่อง
การกลับมาครั้งสองของพระเยซู (The Second Coming of Christ) ท่านบรมหงส์ โยคานันท์ บอกว่า พระเยซูได้เดินทางไปที่ประเทศอินเดียและได้ไปพบปะกับท่านมหาวตาร
บาบาจี
จากหลักฐานชิ้นนี้ก็จะทำให้ท่านมหาวตาร
บาบาจีมีอายุอย่างน้อย 2000 ปี และในหนังสือของท่านโควินทะ บอกว่า
บิดาของท่านบาบาจี นาคราชัน เป็นพระที่อยู่ในวัดประจำหมู่บ้าน
ท่านมหาวตาร
บาบาจี ได้เปิดเผยเพียงแค่รายละเอียดที่ท่านเชื่อว่าจะพอเป็นแบบแผนและเป็นคำแนะนำแก่บรรดาสาวกของท่านเท่านั้น
ท่านโควินทะ
ได้กล่าวถึงเหตุการณ์หนึ่งไว้อย่างนี้ว่า:
“มารดาของท่านมหาวตาร
บาบาจีครั้งหนึ่งได้รับผลขนุนที่หายากมาผลหนึ่งสำหรับจัดงานเลี้ยงในครอบครัวและได้ซ่อนขนุนผลนี้เอาไว้
ตอนนั้นท่านมหาวตาร บาบาจีอายุได้ 4 ขวบ
ท่านไปพบขนุนผลนี้ในตอนที่มารดาของท่านไม่อยู่และได้กินขนุนผลนี้หมด
เมื่อมารดาของท่านมารู้เรื่องนี้เข้านางโกรธมากได้เอาเศษผ้ายัดใส่ปากของท่านมหาวตาร
บาบาจี เกือบจะตายเพราะหายใจไม่ออกแต่ก็รอดชีวิตมาได้ ในกาลต่อมาท่านมหาวตาร
บาบาจีได้ขอบคุณพระเจ้าที่ได้แสดงให้ท่านเห็นว่ามารดาของท่านจะต้องได้รับความรักในรูปแบบที่ปราศจากการยึดมั่นถือมั่น
ความรักของท่านมหาวตาร บาบาจีที่มีต่อมารดาของท่านจึงเป็นความรักที่ไม่มีเงื่อนไขและไม่มีความไม่ยึดมั่นถือมั่น”
เมื่อท่านนาคราช
มีอายุได้ 5 ปี ก็มีคนมาลักพาท่านไปขายให้เป็นทาสอยู่ในเมืองกัลกัตตา (บัดนี้เรียกว่าเมืองโกลกาตา)
นายทาสของท่านเป็นคนมีเมตตาและได้ปลดปล่อยท่านให้พ้นจากความเป็นทาสหลังจากนั้นไม่นาน
และท่านนาคราชก็จึงไปบวชเป็นนักบวชสันยาสีอยู่กับนักบวชกลุ่มเล็กๆกลุ่มหนึ่ง
ในช่วงสองสามปีถัดมาท่านนาคราชได้ท่องเที่ยวไปตามที่ต่างๆ
และได้ศึกษาคัมภีร์ต่างๆ เช่น คัมภีร์พระเวท คัมภัร์อุปนิศัท คัมภีร์มหาภารตะ
คัมภีร์รามายณะ และคัมภีร์ภควัทคีตา
การแสวงหาสัจธรรมของท่านมหาวตาร
บาบาจี
ในหนังสือของท่านมาร์แชล
โควินทะ บอกว่า เมื่อท่านนาคราชอายุได้ 11 ปี ท่านได้เดินทางโดยทางเท้าและทางเรือไปกับกลุ่มนักบวชกลุ่มหนึ่งไปกันที่เมืองกตระคาม
ประเทศศรีลังกา
ท่านนาคราชได้พบกับท่านสิทธา
โภคารนาถะ และได้มอบตัวเป็นศิษย์ของท่านผู้นี้ ท่านนาคราชได้ปฏิบัติสิทธนะโยคะอยู่กับท่านผู้นี้เป็นเวลานาน
ท่านโภคารนาถเป็นแรงบันดาลใจให้ท่านนาคราชได้ศึกษาอบรมกริยะ
กุณฑลินี ประณายาม จากท่านสิทธา มหาฤษี อคัสตยะ
ท่านมหาวตาร
บาบาจีเป็นศิษย์ของท่านสิทธา อคัสยะ และได้ฝึกหัดปฏิบัติ กริยะ กุณฑลินี ประณายาม
หรือ วาสิ โยคัม
ท่านมหาวตาร
บาบาจี ได้เดินทางไปแสวงบุญจากเมืองพัทรินาถเป็นเวลานานและได้ใช้เวลานานถึง 18 เดือนในการปฏิบัติกริยะ
โยคะ ที่สอนโดยท่านสิทธา อคัสยะ และท่านโภคารนาถ จึงทำให้ท่านมหาวตาร บาบาจี
ได้บรรลุสัจธรรมในเวลาไม่นานนัก
ในหนังสือบอกว่า
บาบาจีได้เปิดเผยเรื่องราวเหล่านี้แก่ ท่าน เอส.เอ.เอ. ราไมอาห์
และบัณฑิตหนุ่มทางด้านธรณีวิทยาของมหาวิทยาลัยมัทราช และ วี.ที. นีลกันตัน
นักหนังสือพิมพ์ผู้มีชื่อเสียงและนักศึกษาที่เป็นเพื่อนสนิทของแอนนี เบสันต์
ประธานของสมาคมเทววิทยาและศิษย์ของท่านกฤษณะมูรติ
ท่านมหาวตาร
บาบาจี ไปปรากฏในแต่ละครั้งไม่เหมือนกันและได้นำพาคนที่ท่านได้พบปะเหล่านั้นให้มาทำงานเพื่อบรรลุถึงภารกิจที่สำคัญของท่าน
รายงานการพบปะกับท่านมหาวตาร
บาบาจี ระหว่างปี พ.ศ. 1861-1980
1.จากศยามจรัญ
ลาหิริ
การพบปะกับท่านมหาวตาร
บาบาจีที่มีรายงานเป็นครั้งแรกเกิดจึ้นเมื่อ ค.ศ. 1861 เป็นตอนที่ศยามจรัญ( ที่บรรดาศิษยานุศิษย์เรียกว่า
มหาสัย) ได้ถูกย้ายให้ไปประจำอยู่ที่รานีเขตในตำแหน่งพนักงานบัญชีของรัฐบาลอังกฤษ(ที่เข้ามาปกครองประเทศอินเดียในสมัยนั้น)
ในวันหนี่งในขณะที่ศยามจรัญเดินขึ้นไปบนเนินเขาทุนคีรีที่อยู่เหนือเมืองรานีเขตนั้น
ศยามจรัญก็ได้ยินเสียงเรีกชื่อของเขา เขาจึงได้เดินตามเสียงร้องเรียกนั้นไปบนภูเขาและเขาก็ได้พบ
“สาธุ (พระ)ร่างสูงใหญ่มีแสงสว่างส่องประกายระยิบระยับออกมาจากร่างกาย” เขาประหลาดใจมากที่พระรูปนั้นรู้จักชื่อของเขาได้อย่างไร
พระรูปนั้น ก็คือ ท่านมหาวตาร บาบาจี ท่านมหาวตาร บาบาจี ได้บอกกับลาหิริว่า
ท่านคือคุรุของเขาตั้งแต่ในอดีตชาติ จากนั้นก็ได้ให้ฝึกหัดศึกษากริย
โยคะให้แก่ลาหิริ และได้แนะนำลาหิริด้วยว่าให้นำกริย โยคะนี้ไปฝึกหัดศึกษาให้แก่ผู้อื่นด้วย
ลาหิริมีความต้องการจะอยู่กับท่านมหาวตาร บาบาจิแต่ท่านบอกใหเลาหิริกลับไปดำเนินชีวิตทางโลกต่อไปและให้ทำการอบรมสั่งสอนเรื่องกริยะ
โยคะแก่คนอื่นๆต่อไป กับทั้งได้บอกกับลาหิริด้วยว่า “กริย โยคะ สธนะ จะแผ่หลายไปยังประชาชนทั่วโลกเพราะการอยู่ในโลกของลาหิริ”
ลาหิริ บอกว่า
ท่านมหาวตาร บาบาจี ไม่ได้บอกชื่อ หรือพื้นเพเดิมของท่านแก่ลาหิริ ดังนั้นลาหิริจึงขนานนามท่านว่า
มหาวตาร บาบาจี พระ(สาธุ) ในประเทศอินเดีย หลายรูป ถูกเรียกว่า บาบาจี
และในบางครั้งถูกเรียกว่า บาบาจี มหาราช ซึ่งก่อให้เกิดความสับสนระหว่างมหาวตาร
บาบาจี กับสาธุรูปอื่นๆที่มีชื่อคล้ายคลึงกัน
ลาหิริได้พบปะกับท่านมหาวตาร
บาบาจีหลายครั้ง ซึ่งก็ได้ถูกระบุถึงเรื่องนี้ในหนังสือหลายเล่ม
รวมทั้งหนังสือเรื่อง อัตชีวประวัติของโยคี ของท่านบรมหงส์ โยคานันท์ หนังสือชีวประวัติของ โยคิราช ศยาม จรัญ ลาหิริ
มหาสัย หนังสือเรื่อง ปุราณ ปุรุษะ :
โยคิราช ศรี ชามา เชิญ ลาหิริ
และหนังสือเรื่องอื่นๆ
มีการกล่าวอ้างถึง
ศรี ลาหิริ มหาสัย ในหนังสือเรื่อง สัมปูนา ศรีปาทา วัลลภา ชาริตัม ว่าเป็น
คุรุของศรี เชอดี ไสบาบา ซึ่งเป็นผู้ฝึกอบรมกริยะ โยคะ แก่ไสบาบาด้วย
2.จากบรรดาศิษย์ของศยามจรัญ
ลาหิริ
ศิษย์หลายคนของท่านศยามจรัญ
ลาหิริ ได้บอกว่า พวกเขาได้พบปะกับทานมหาวตาร บาบาจี และจากการที่พวกเขาได้สนทนาพูดคุยถามเรื่องราวต่างกันพวกเขาต่างก็ยืนยันว่าบุคคลที่พวกเขาพบเป็นพระรูปเดียวกับที่ที่ท่านลาหิริเรียกว่า
มหาวตาร บาบาจี
ในงานกุมภเมลาในเมืองอัลลาฮาบัดในปี
ค.ศ. 1894 ยุกเตศวร คิรี ศิษย์คนหนึ่งของลาหิริ ได้พบกับท่านมหาวตาร บาบาจี
ท่านยุกเตศซร คิรีตะลึงงันเมื่อเห็นความคล้ายคลึงกันระหว่างลาหิริกับท่านมหาวตาร
บาบาจี คนอื่นที่ได้พบกับท่านมหาอวตาร บาบาจีต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันถึงความคล้ายคลึงกันระหว่างทานลาหิริกับท่านมหาอวตาร
บาบาจีนี้เช่นกัน ในการพบกันในครั้งนี้เองที่ท่านมหาอวตาร บาบาจีได้แนะนำให้ศรี
ยุกเตศวร เขียนหนังสือซึ่งต่อมาก็คือ หนังสือชื่อ ไกวัลยะ ทารชนัม หรือ The
Holy Science ศรี ยุกเตศวรได้พบปะกับท่านมหาวตาร
บาบาจี อีก 2 ครั้ง รวมทั้งครั้งที่มีลาหิริ มหาสัย อยู่ที่นั่นด้วย
ปราณพานันทะ
คิรี ศิษย์อีกคนหนึ่งของท่านลาหิริ ก็ได้พบกับท่านมหาวตาร บาบาจี
พร้อมกับท่านลาหิริ ที่บ้านของท่านลาหิรินั่นเอง ปราณพนันทะได้สอบถามถึงอายุของท่านมหาวตาร
บาบาจี ท่านมหาวตารบาบาจีตอบว่า ท่านมีอายุประมาณ 500 ปีในตอนนั้น
เกศพานันทะ ศิษย์คนหนึ่งของท่านลาหิริ
ได้บอกว่า ตนได้พบกับท่านมหาวตาร บาบาจีในภูเขาใกล้เมืองพัทรินาถ ในราวปี ค.ศ.
1935 ภายหลังจากที่เกศพนันทะหลงทางอยู่ในภูเขา
ในการพบปะกันในครั้งนั้น
ปราณพนันทะ บอกว่า ท่านมหาวตาร บาบาจีได้วานให้ไปแจ้งข่าวสารแก่ท่านต บรมหงส์
โยคานันทะว่า “ฉันจะไม่ไปพบเขาในเวลานี้ ตามที่เขากระสันอยากจะพบ
แต่ฉันจะไปพบเขาในโอกาสอื่น”
ในหนังสือชื่อ
อัตชีวประวัติโยคี (Autobiography of a Yogi) บรมหงส์ โยคานันทะ เขียนว่า มหาวตาร
บาบาจีได้ไปเยี่ยมท่านก่อนที่ท่านจะเดินทางไปสหรัฐอเมริกาและได้บอกกับท่านว่า “เธอ
คือ คนที่ฉันเลือกให้ไปเผยแผ่กริยะ โยคะ ในย่านตะวันตก”
.
ศิษย์คนอื่นๆของลาหิริซึ่งบอกว่าได้พบกับท่านมหาวตาร
บาบาจี คือ เกสพนันทะ คิรี และ ราม โคปาล มุวุมดาร์ ซึ่งได้ไปพบกับท่านมหาวตาร
บาบาจีและน้องสาวของท่าน ที่ชื่อว่า มาตาจี
นอกจากนั้นแล้ว
สาวกของท่านไตรลังคะ สวามี, ศังการี มาตา (หรือ สังการี ไม จิว)
ก็ได้พบกับท่านมหาวตาร บาบาจี ในขณะที่ไปเยิ่ยมท่านลาหิริ มหาสัย
มหาวตาร บาบาจีเป็นแค่บุคคลแค่ในตำนานโบราณ
อำนาจและอายุถูกกำหนดให้แก่มหาวตาร
บาบาจีโดยบรรดาศิษย์ของท่านลาหิริ
เรื่องราวต่างๆได้ชักนำให้คนทั้งหลายมีความเชื่อว่า ท่านมหาวตาร
บาบาจีเป็นบุคคลในตำนาน
ยิ่งเสียกว่าจะเป็นพระ(สาธุ)ที่มีอยู่จริงและมีผู้เห็นเป็นประจักษ์หลายต่อหลายครั้ง
ในระหว่างปี ค.ศ. 1861-1935
บรมหงส์
โยคานันทะ ได้กล่าวถึงบทบาทของท่านมหาวตาร บาบาจี ไว้ในหนังสือเรื่อง
อัตชีวประวัติของโยคี ว่า ดังนี้:
“ท่านมหาวตารติดต่ออยู่กับพระเยซูอย่างต่อเนื่อง
ทั้งทองท่านได้ติดต่อกันทางจิต และวางแผนกันที่จะใช้เทคนิคทางจิตเพื่อการปลดปล่อยสำหรับยุคนี้
“งานของมหาวตารและพระเยซู
ซึ่งผู้หนึ่งมีร่างกายส่วนอีกผู้หนึ่งไม่มีร่างกาย กำลังดลใจให้ประชาชาติทั้งหลายละทิ้งสงครามการฆ่าตัวตาย
ความเกลียดชังทางเผ่าพันธุ์ ความแตกแยกทางศาสนา และการย้อนกลับมาทำลายตนเองของวัตถุนิยม
“ท่านบาบาจีตระหนักถึงแนวโน้มของยุคสมัยใหม่โดยเฉพาะอย่างยิ่งอิทธิพลและความซับซ้อนของอารยธรรมตะวันตก
และมีความตระหนักถึงความจำเป็นของการเผยแผ่การปลดเปลื้องตนเองของโยคะให้เท่าเทียมกันทั้งในภูมิภาคตะวันตกและภูมิภาคตะวันออก
“นอกจากนี้แล้ว
ท่านบาบาจีก็ยังถูกกล่าวอ้างในรายงานบางกระแสว่าท่านเป็นผู้ไม่มีอายุ และอ้างว่าทมีอายุประมาณ
500 ปีในช่วงปีทศวรรษที่ 1800 ส่วนในหนังสือเรื่องอัตชีวประวัติโยคี ท่านบรมหงส์
โยคานันทะ บอกว่า ตามรายงานของบรรดาศิษย์ของท่านลาหิริ ไม่มีใครรู้ถึง อายุ
ครอบครัว สถานที่เกิด ชื่อที่แท้จริง หรือรายละเอียดอื่นๆของท่านบาบาจี”
ในหนังสือเรื่องอัตชีวประวัติของโยคี
ของ บรมหงส์ โยคานันท์ บอกว่า น้องสาวของท่านบาบาจี ชื่อว่า มาตาจี (มีความหมายว่า
แม่ผู้ศักดิ์สิทธิ์) ซึ่งมีชีวิตผ่านมาหลายศตวรรษ์)
ระดับของการบรรลุทางจิตของนางเทียบได้กับของท่านบาบาจี
และนางพำนักบำเพ็ญเพียรทางจิตอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่ง
แม้ว่าในรามโคปาลจะเขียนเรื่องของน้องสาวท่านบาบาจีเพียงสามหน้าในหนังสือของเขา
และได้บรรยายความในตอนหนึ่งว่า “นางเป็นสาวและน่ารักมาก
และนางก็ยังเป็นหญิงที่งามสง่า”
การกล่าวอ้างถึงมหาวตาร
บาบาจีในยุคปัจจุบัน
มหาอวตาร
บาบาจี ปรากฏอยู่บนปกอัลบั้ม The Beatles '1967
Sgt Lonely Hearts Club Band ของเปปเปอร์ และยังปรากฏอยู่บนหน้าปกของอัลบั้ม
Dark Horse ของ George Harrison ในปี
1974
ในหนังสือ Book
3 of Conversations with God (1998)
ของ นีล โดนัลด์ วอลช์ ได้ระบุว่า
บาบาจีอาจจะฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งจากความตาย เช่นเดียวกับ ลาซารุส พระเยซู
และคนอื่นๆ
.
ในหนังสือ Ultimate
Journey (1994) ของ โรเบิร์ต มอนโร ผู้เขียนได้ถอดจิตไปเยี่ยมเยือนบุคคลผู้หนึ่ง(ไม่ได้ระบุชื่อของบุคคลผู้นั้น)
ซึ่งกลับชาติมามีชีวิตอยู่อย่างยาวนานถึง 1800 ปี ซึ่งเป็นการบ่งบอกว่าเขาผ็นี้เกิดเมื่อราว
ค.ศ. 203
ภาพยนต์เรื่อง The
2002 Tamil film Baba ซึ่งเขียนบทโดย
ราชินิกันท์ เป็นภาพยนต์อิงเรื่องของท่านบาบาจี ส่วนสวามี มเหศวรนันทะ
เขียนหนังสือของเขาเรื่อง The hidden power in humans (พลังซ่อนเร้นในมนุษย์) ว่า คุรุของท่นบาบาจีในตำนาน
คือ ท่าน ศรี อาลัข ปุริจี
ในปี ค.ศ. 2005
ท่านมหาวตาร บาบาจี ปรากฏตัวต่อหน้าคุณ ททัศรีจี (Dadashreeji) ผู้ก่อตั้งองค์กร ไมตริโพธ ปริวาร์ (Maitribodh
Parivaar) และท่านบาบาจีก็ยังได้บอกกับททัศรีจีถึงตัวตนที่แท้จริงตลอดจนเป้าหมายชีวิตของท่านด้วย
ในหนังสืออัตชีวิตประวัติเรื่อง
Apprenticed to a Himalayan master: a yogi's autobiography (2010)
ศรี.เอ็ม (มุมตัซ อาลี) ได้เขียนบรรยายถึงการพบปะของเขากับท่านบาบาจี
ที่ใกล้เนินเขานีลกันท์
ในหนังสือเล่มนี้
ศรี เอ็ม ได้บรรยายถึงรูปร่างของท่านบาบาจีว่า มีผิงดั่งทองทา ไม่ปรากฏร่างเนื้อ เห็นแต่ผ้าเตี่ยวสีขาวส่องสว่างโชติช่วงถึงเข่า
มีผมสีน้ำตาลปลิวไสวตกลงมาปะบ่า
ศรี เอ็ม ระบุว่า
ภาพอันน่ารักนี้มาจากท่านบาบาจีเป็นภาพคล้ายกับเทพเจ้า
ในบทที่สองของหนังสือเรื่องเดียวกันนี้ เขาได้บอกว่า ท่านบาบาจี คือ พระศิวะ